วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เจาะลึก " โออิชิกรุ๊ป "

เจาะลึก " โออิชิกรุ๊ป "




หลาย ๆ คนยังไม่รู้ที่มาของโออิชิที่เราดื่มอยู่ทุกวันนี้ ลองมาเจาะลึกดูเผื่อจะได้เรียนรู้ข้อมูลอะไรหลาย ๆ อย่างกันค่ะ : ) 

ประวัติความเป็นมา
บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นเครือธุรกิจอาหารในประเทศไทย ผู้ก่อตั้งคือตัน ภาสกรนที โดยเริ่มต้นจากร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเปิดตัวใน พ.ศ. 2542 และทำธุรกิจเครื่องดื่มจนครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในตลาดชาเขียว แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนใน พ.ศ. 2547 ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) 
ตัน ภาสกรนที (4 เมษายน พ.ศ. 2502 - )เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ในพ.ศ. 2551และภายหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จากัด (มหาชน) (บริษัท”) เป็นผู้นาตลาดเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มในประเทศไทย ภายใต้ตรา สินค้าชาเขียว โออิชิในปี 2542 เริ่มดาเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ และในปี 2546 เริ่มการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวออก สู่ตลาดภายใต้ชื่อ โออิชิ กรีนที ต่อมาในปี 2547 บริษัทนาหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทเข้าทาการซื้อขายในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 375 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชาระแล้ว จำนวน 375 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจานวน 187.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 9เมษายน 2556 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จากัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในสัดส่วน 79.66%  
บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่
(1) ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น โดยใช้ตราสินค้าหลักคือ โออิชิ” (Oishi) และมีความเป็นเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น มีทั้งหมด 9 แบรนด์ คือ โออิชิ แกรนด์ โออิชิ บุฟเฟต์ ชาบูชิ โออิชิ ราเมน โออิชิ เดลิเวอรี่ Kazokutei Nikuya Kakashi และ Snack Shop ณ วันที่ 31 มีนาคม 2556 บริษัทมีสาขาร้านอาหารรวมทั้งสิ้น 165 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ พัทยา ชลบุรีสระบุรี ลพบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และภูเก็ต (จานวน 163 สาขาที่ดาเนินการโดยบริษัท และอีก 2 สาขาเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ในภูเก็ต)
                (2) ธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียว ชาคูลล์ซ่า ฟรุตโตะ และอะมิโนพลัส

ประวัติความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ

ข้อมูล ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2554
โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
จำนวน
สัดส่วน
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
167,360,199
89.26%
UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED
8,692,600
4.64%
นาย ตัน ภาสกรนที
6,562,500
3.50%
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
1,616,700
0.86%
CITIBANK NOMINEES SINGAPORE
1,000,000
0.53%
PTE LTD-UBS AG LONDON BRANCH-NRB

กำไร (ล้านบาท)
2553
2552
2551
2550
1,009.48
751.33
592.47
558.37
กำไรสุทธิ (ล้านบาท)
ไตรมาส 1/2554
ไตรมาส 1/2553
337
192
กำไรไตรมาส 1/2554 เทียบกับไตรมาส1/2553 เติบโต 75.5%













การเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัทใหม่หลังการลาออกของตัน
                ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง ปณต สิริวัฒนภักดี ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท แทน สุนิสา สุขพันธ์ถาวร (ภรรยาของตัน) ตามการพิจารณาเสนอแนะของคณะกรรมการสรรหา โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
(ณรงค์ ศรีสอ้าน ประธานกรรมการบริหาร และนายโช เอวี่ย จิ้น กรรมการบริหาร ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554)
ฐาปน สิริวัฒนภักดี
ประธานกรรมการบริหาร
โดยก่อนหน้าเขาเป็นรองประธาน
กรรมการบริหาร
อวยชัย ตันทโอภาส
รองประธานกรรมการบริหาร
สิทธิชัย ชัยเกรียงไกร
รองประธานกรรมการบริหาร
แมทธิว กิจโอธาน
กรรมการผู้จัดการ
พิษณุ วิเชียรสรรค์
กรรมการบริหาร
สุรีย์พร ประดิษฐ์ทัศนีย์
กรรมการบริหาร
ไพบูลย์ คุจารีวณิช
กรรมการบริหาร
ไพศาล อ่าวสถาพร
กรรมการบริหาร
อนิรุทธิ์ มหธร
กรรมการบริหาร
ส่วนใหญ่เป็นคนของไทยเบฟฯ มี ไพศาล อ่าวสถาพร ที่เป็นคนเก่าของตันที่ยังคงอยู่ในบอร์ด
















พัฒนาการสำคัญของธุรกิจในกลุ่มบริษัทจากอดีตถึงปัจจุบันมีดังนี้
·       ปี 2542   วันที่ 9 กันยายน 2542 เปิดดำเนินการร้านอาหารญี่ปุ่น โออิชิ
·       ปี 2544  เปิดให้บริการร้านบะหมี่ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ โออิชิ ราเมน
·       ปี 2545  เปิดบริการร้านอาหารระบบสายพานสไตล์บุฟเฟต์ที่บริการทั้ง ข้าวปั้นหน้าต่างๆ และสุกี้หม้อไฟญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ ชาบูชิ
·       ปี 2546  เปิดดำเนินการครัวกลางแห่งใหม่ที่โรงงานนวนคร หน่วยผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อสนับสนุนการขายภายในร้านค้าของบริษัท เริ่มการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อ โออิชิ กรีนที
·       ปี 2547 วันที่ 25 สิงหาคม 2547 นำหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลัก ทรัพย์แหง่ ประเทศไทย  เปิดบริการ โออิชิ แกรนด์ บุฟเฟต์ ที่สยามดิสคัฟเวอรี่
·       ปี 2548  เริ่มผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมอะมิโน ภายใต้ชื่อ อะมิโน โอเค
·       ปี 2549  เปิดดำเนินการโรงงานอมตะนคร
·       ปี 2550  ออกผลติภัณฑ์ชาเขียวรสชาดำผสมมะนาว
·       ปี 2551 ออกผลิตภัณฑ์ใหม่กาแฟพร้อมดื่มภายใต้ชื่อ คอฟฟิโอ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
·       ปี 2552  เปิดให้บริการร้านอาหารอุด้งและโซบะ Kazokutei แฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น  ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ อะมิโน โอเค มาเป็น อะมิโน พลัส โดยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดและจดุ ขายใหมทั้งหมด
·       ปี 2553  ออกเครื่องดื่มรสชาติใหม่ Goji Berry ซื้อที่ดินเพิ่มเติมที่โรงงานนวนคร ทำให้มพี ืน้ ที่เพิ่มขนึ้ เป็น 61.5 ไร่  ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสำหรับสองโครงการคือ Cold Aseptic Filling และ UHT
·       ปี 2554  ออกเครื่องดื่มชาเขียวผสมน้ำ ผลไม้ Fruito ออกเครื่องดื่มชาเขียวกระป๋องผสมโซดาเป็นครั้งแรกของประเทศไทย  เปิดร้านอาหาร Nikuya ยากินิกุ บุฟเฟต์ปิ้งย่างในสไตล์ญี่ปุ่น
·       ปี 2555 เปิดตัวผลติ ภัณฑ์สาหร่ายทอดกรอบ โอโนริออกเครื่องดื่มชาเขียวแบบกลอ่ง UHT ลายการ์ตนู “One Piece” เปิดให้บริการร้านข้าวหน้าสไตล์ญี่ป่นุ คาคาชิได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการ Cold Aseptic Filling สายการผลิตที่ ออกผลิตภัณฑ์ชาเขียวขวดแก้วแบบคืนขวด
·       ปี 2556  ในเดือนมีนาคม 2556 โครงการ Cold Aseptic Filling สายการผลิตที่ 2 ที่อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรีเริ่มผลิตเพื่อการพาณิชย์

ย้อนวัยเด็ก ตัน โออิชิ
ในวัย 17 ปี ก็ค่อนข้างคิดต่างจากวัยรุ่นทั่วไปแล้ว ซึ่งวัยเท่านี้ส่วนใหญ่กำลังเที่ยวเล่นเลยนะคะ
ผมเป็นคนรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง ถ้าผมยังทำตัวเที่ยวเล่น วันนี้ผมก็แย่สิ สิ่งเดียวที่ผมมีคือต้องตั้งใจทำงานให้ดีกว่าคนอื่นตอนผมอายุ 17 ปี ผมรู้สึกว่าสู้เพื่อนไม่ได้ แพ้เพื่อนเด็ดขาดเลย ผมบอกเพื่อนว่า ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกไปทำธุรกิจ อีก 10 ปีข้างหน้า ผมจะมาพบเพื่อน ๆ ใหม่ 10 ปียังไม่สาย เหมือนหนังจีนไหม ดูหนังมากไปหน่อย (ยิ้ม) แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พออีก 10 ปี ผมกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน เพื่อนที่ผมรู้สึกว่าตอนนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เราเป็นบ๊วยอยู่คนเดียวกลับไปก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่นะ (หัวเราะ) บางคนเขามีธุรกิจใหญ่กว่าผม แต่ว่าผมดีกว่าเดิมเยอะ วันที่ผมกลับไป ผมไม่ใช่ที่หนึ่งแต่ผมไม่ได้บ๊วยแล้ว ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อย่างน้อยถ้าวันนั้นผมไม่สู้ ผมไม่มีวันนี้
การที่ต้องทำมากกว่า คนอื่น ทำให้คุณตันผ่านการทำงานมาหลายอย่าง
การที่ไม่มีความรู้ทำให้ผม ต้องทำทุกอย่าง ช่วงแรก ๆ ผมใช้แรงงานเป็นหลัก เป็นพนักงานแบกของ ส่งของ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพราะถือว่าทำมากได้ประสบการณ์มาก
ผม เริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาท ทำงานส่งของ แบกของมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เป็นพนักงานขายพอผมออกจากการเป็นพนักงาน ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มเอง คือแผงขายหนังสือพิมพ์ ช่วงแรก ๆ เหนื่อย เพราะเราแลกด้วยเหงื่อ เราไม่มีทุน พอออกมาเปิดแผงขายหนังสือ ผมนำเงินไปซื้อหนังสือรอบแรก หมดตัวตั้งแต่ 5 หมื่นแรกเลย เพราะฝนตกหนังสือเปียกน้ำทั้งหมด เจ๊งตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดร้าน แต่ผมไม่ยอมแพ้ เอาใหม่ ผมอยู่ได้ด้วยการทำงานมากกว่าคนอื่น ร้านขายหนังสือซ้ายขวาขายหนังสือน้อยกว่าผมเยอะ เขาขาย 8 ชั่วโมง ผมขาย 18 ชั่วโมง เขาตื่น 7 โมงเช้า แต่ตี 5 ผมตื่นมาขายแล้ว คุณปิด 2 ทุ่ม ผมปิดตี 2 ปิดแค่ 3 ชั่วโมง ลูกค้ามาผมก็ขาย ลูกค้าไม่มาผมเดินไปหาลูกค้าหนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จผมต้องทำงาน ให้มากกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเราออกไปเก็บได้
เพราะ ทำมากกว่าคนอื่น ทำให้เป็นเจ้าของธุรกิจได้เร็ว
ผมเขยิบมาเปิดร้าน กิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร แล้วก็มาทำธุรกิจเรียลเอสเตทกำลังจะมีเงิน 100-200 ล้านบาท พอรัฐบาลประกาศค่าเงินบาทลอยตัว กลายเป็นผมมีหนี้ร้อยกว่าล้าน ตายตอนปี 2539 แต่ผมพยายามแก้ปัญหา ผมมีทั้งหนี้ธนาคารและหนี้นอกระบบ ค่อย ๆ แก้วิกฤต เจรจาประนอมหนี้ ค่อย ๆ ใช้หนี้ไป ผมเริ่มต้นใหม่ ผมว่าทุก ๆ ช่วงของชีวิตเหมือนฟ้าทดสอบเรา หรือถ้าพูดอีกแบบชีวิตมันมีวิกฤตอยู่ ว่าแต่จะเจอตอนไหน แล้วคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า

ตอนเปิดโออิชิสาขาแรกคุณตันก็ยังทำงานอยู่ เบื้องหลัง
ตอนเปิดโออิชิวันแรกผมซ่อมก๊อกน้ำอยู่ในห้องน้ำ จะเห็นว่า 2-3 ปีแรกผมไม่เคยออกข่าว เป็นคนที่ดูแลงานเบื้องหลังมากกว่า คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เขาเล่าให้ฟังว่า เจอผมครั้งแรกเห็นผมใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะอยู่ในร้าน ตอนนี้ไม่มี เวลาไปทำแล้ว ถึงไปทำก็ไม่มีประโยชน์เพราะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ผมต้องพร้อมที่จะทำได้ เราบอกว่าห้องน้ำเหม็นใช่ไหม เราชี้ให้คนอื่นทำ ถ้าเรายังรู้สึกรังเกียจ เราจะไปเรียกให้คนอื่นทำไม่ได้หรอก ถ้าเรากล้าที่จะล้างห้องน้ำ ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำหรอก สมัยก่อนผมจะทำบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ผมพร้อมจะทำ ผมทำให้ได้
ทุกวันนี้ยังเสียเหงื่อกับการทำงาน เหมือนเมื่อ 20 ปี ที่แล้วไหมคะ
ต่างกันครับ สมัยก่อนผมทำเอง มีลูกน้องไม่กี่คนแต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาชน มีการบริหารที่เป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ผมยังต้องทำงานอยู่ แต่ว่าหน้าที่บางอย่างไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้นถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ถ้าทำแบบนี้ไม่ดี เพราะไม่คล่องตัวหรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่แล้วผมยังทำแบบเดิมที่เคยทำ ก็ไม่ดี เพราะเรารู้คนเดียว และไม่มีแผนงานรองรับ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้งานจะถูกวางแผนทั้งปี เงินจะเข้าบริษัทเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้เท่าไหร่ จะมีกำไรเท่าไหร่ มีตัววัดผลทุก 1 เดือน ทุก 3 เดือน ทำตามแผนงาน ถ้าไม่ทำตามแผนก็แก้
ตัน ภาสกรนที คนเก่ากับคนปัจจุบัน ณ วันนี้ เปลี่ยน ไปมาก-น้อยแค่ไหนคะ
ตัวผมยังเหมือนเดิม แต่งานไม่เหมือนเดิม ถามว่าผมอยากเป็นคนเดิมไหม อยากครับ แต่มันเป็นไม่ได้แล้ว ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คนเราจะมีชีวิตเหมือนเดิม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตผมเปลี่ยนครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมก็ไม่ได้อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นคนดัง สมัยก่อนใส่ขาสั้น เดี๋ยวนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ลูกน้องบอกว่าพี่ตันไม่ได้แล้วนะ เสื้อผ้าหยิบตัวไหนมาเถอะ มีแต่ลูกน้องซื้อให้ทั้งนั้น ผมชอบกินอาหารที่ขายริมถนน เดี๋ยวนี้พอไปกิน ลูกน้องก็จะบอกว่าพี่ตัน อันตรายไปนั่งกินข้างถนนคนเดียว เดี๋ยวโดนเขาอุ้มหรอก หรือผมไปลาว ไปจัดงานอีเวนท์ จะไปเดินงานวัด แต่ลูกน้องไม่ให้ไปเดิน ก็ผมอยากไปน่ะ ผมบอกผมจะไป ปรากฏไปเรียกตำรวจมาเฝ้าผมเลยนะซ้ายขวา โอ๊ยอะไรของมันวะ ในตัวไม่ได้มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มีนาฬิกาเรือนเดียว คือเป็นคนเดิมไม่ได้ คนรอบข้างไม่อยากให้เป็น เขาคิดมากกัน (ยิ้ม) เพราะเรามีความรับผิดชอบเยอะ
มีคำแนะนำอย่างไรกับประโยคที่บอกว่าจุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
ผมเชื่อว่าคนเรามีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่มันจะมาหาเรา เมื่อไหร่ บางคนโชคดีตั้งแต่ปีแรก บางคนทำงานแป๊บเดียวก็ดี บางคนทำงาน 5 ปียังไม่ดี บางคนขยันและประหยัดมา 10 ปียังไม่เห็นผลเลย แต่มันอาจจะไปเห็นผลปีที่ 11 บางคนทำ 20 ปีจึงจะเห็นผล โอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้วเราไม่พร้อม เราก็พลาดโอกาส หรือวันนี้อะไรก็ดี แต่คุณทำตัวเหลวไหล มันก็สายไปแล้ว ทุกคนต้องพร้อม ต้องมีความหวัง ความพยายามต้องใหญ่ ความทุ่มเทต้องเยอะ คิดแล้วต้องลงมือทำ มีคนทำแต่ไม่คิด อันนี้เจ๊งแหง ๆ หรือคิดแล้วไม่ได้ทำ แม้แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมันยังไม่มีเลย ต้องคิดดีแล้วลงมือทำทันที ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีขึ้นมีลง แต่ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว เวลาเจอปัญหาอย่าท้อแท้ ผมว่าทุกคนทำได้
ผมเชื่อว่าไม่ว่าฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง สักวันหนึ่ง คุณก็ได้ดี เพราะหลาย ๆ ธุรกิจที่มีโอกาส ผมได้มาเพราะตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว หลายธุรกิจที่เขาให้โอกาสผม เขาเห็นว่าผมเป็นคนขยัน เป็นคนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ก็เลยสนับสนุนผม ผมอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่าถึงคุณจะขยันมาก คุณจะเก่งมาก คุณจะพยายามมาก ที่สำคัญอย่าลืมเป็นคนดีด้วย เพราะคนดีวันหนึ่งจะมีความหมาย คนเราทุกคนถ้าคุณถึงจุดจุดหนึ่งคุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ถามว่าแล้วคุณจะทำให้กับใคร ก็ต้องอยากทำให้กับคนดี ๆ ถามผมว่าผมอยากจะช่วยเหลือใคร ผมก็ต้องอยากช่วยเหลือ คนดี ๆ ใครจะไปอยากช่วยเหลือคนที่มันไม่ดี
เราย้อนกลับไปเปิดหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่ถือไปให้เจ้าของเรื่องราวได้เซ็นชื่อให้ เหนือลายเซ็นของเขา ข้อความ นั้นเขียนไว้ว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
อย่าง ที่เขาเอ่ยกับเราว่าแท้จริงแล้วทุกคนมีต้นทุน อยู่ในตัว ตัน ภาสกรนที จึงเป็นอีกหนึ่งชีวิตของคนสู้งาน ที่ยืนยันว่าความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่มาจากสมอง สองมือ และหนึ่งใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเราเองที่เกิดกับ ใครก็ได้
9 เคล็ดวิชาของตัน โออิชิ จากประสบการณ์
1.เลือกธุรกิจ อนาคต
คำถามที่เขา มักถามตัวเองก่อนริเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ว่า นี่มันเป็นธุรกิจแฟชั่นหรือธุรกิจอนาคต?”
ตันชอบทำธุรกิจอนาคตเขาไม่ชอบธุรกิจที่วูบวาบตามกระแสแฟชั่นแต่สำหรับคำตอบ ใช่ว่าจะนั่งคิดนั่งตอบเอาเอง ตันใช้วิธีการหาข้อมูลจากความเป็นจริงทุกครั้งตันคิดใหญ่เขาจึงเลือกธุรกิจอนาคตและนักธุรกิจที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมอง ธุรกิจของตัวเองให้ทะลุแม้ตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านการทำธุรกิจหลากหลายชนิด ตันไม่ได้เขียนแผนธุรกิจตามแบบฉบับที่หลักสูตรบริหารธุรกิจเรียนกันแต่เขามีความคิด มีแผนในหัวที่ต้องมองให้ทะลุ ทั้งการเลือกทำเล การผลิต การตลาด โดยไม่ได้เขียนออกมาอย่างคนที่เรียนมาหรอกจากประสบการณ์ของตันเขาเคยเห็นบางคนมัวแต่วางแผนแล้วทุกอย่างก็อยู่ในกระดาษแต่ไม่ได้ทำจริงสักที
2. ทำเลที่ดีเหมือนมีชีวิต
ประสบการณ์เมื่อตอนที่ตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานขายสินค้าไปเช่าที่หน้าตึกแถวในสถานีขนส่งของจังหวัดชลบุรีเพื่อไปเปิดแผงขายหนังสือและนิตยสารทำเลแบบนั้นคือ ทำเลเป็นรถ โดยสารจะเข้ามารับและส่งผู้โดยสารตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดต่อเนื่องจนถึงหลังเที่ยงคืนบริเวณใกล้เคียงยังมีห้องอาหารและสถนบริการอาบอบนวดจึงมีผู้คนหมุนเวียนมิได้ขาดผิดกับสภาพทำเลแบบร้านที่อยู่ใต้ตึกห้อง เช่าซึ่งมีคนพักอาศัยจำนวนเท่าเดิม ตายตัว ซึ่งก็คือ ทำเลตาย
จากการ มองเห็นทำเลทอง และเข้าไปติดต่อของเช่าในราคาเพียงเดือนละพันบาทผลก็คือ แค่ 6 เดือน จากเคยเป็นผู้เช่าตันก็ยกระดับซื้อตึกที่เช่าอยู่ได้ทั้งตึก

3. ใฝ่รู้ ทุ่มเท อดทน
ตันย้ำ เสมอว่าเขาโชคดีที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยนั่นจึงทำให้เขามีในสิ่งที่คนรวยไม่สามารถมีเท่าเขาได้คือ ความอดทนต่อการทำงานหนักแต่อดทน อย่างเดียวไม่พอ ตันเชื่อว่าต้องอดทนอย่างใฝ่รู้ด้วยและการหาความรู้ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่รู้จักถามผู้รู้เพราะทุกครั้งที่เราถามเราจะได้กำไรฉะนั้นหากใครมีโอกาสพบคนอย่างตันก็จงถาม เพราะ ณ วันนี้ ตันคงมีเรื่องราวให้เรียนรู้มากมายและเมื่อถามถึงปรัชญาที่ตันใช้ในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ คืออะไร เขาตอบว่า…“คิดดี ลงมือทำทำแล้วทำต่อเนื่องเจออุปสรรคไม่ทิ้งได้ดีแล้วอย่าลืม ตัว
4. สร้างความประทับใจลูกค้า
ตัน รู้จักการทำ CRM ตั้งแต่ยังไม่เคยได้ยินคำนี้ด้วยซ้ำแม้จะไม่ได้เรียน ถึงขึ้น MBA แต่ตันก็ตระหนักดีว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่จะนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ Customer Relationship Management คือหัวใจในการทำธุรกิจประการหนึ่งนับ ตั้งแต่การลงหลักปักฐาน ธุรกิจแรกในชีวิตด้วยการเช่าที่ทำแผงหนังสือ ตันก็ชนะใจลูกค้าของเขาเสียอยู่หมัดประสบการณ์จากการเป็นเซลล์ทำให้เขา เรียนรู้ว่า ต้องจำคนให้เก่งและที่สำคัญคือต้องจำให้ได้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมการซื้ออย่างไรทั้งๆที่แผงหนังสือของเขาไม่ใช่แผงเดียวในย่านนั้นทว่ายอดขายของร้านเขากลับชนะแผงคู่แข่งอย่างถล่มทลายเพราะแค่ลูกล้าเดินมายังไม่ถึงร้านของเขา เขาก็เตรียมหนังสือที่ลูกค้าต้องการใส่ถุง เตรียมเงินทอนไว้เรียบร้อยเขา จำได้ดีว่าใครชอบอ่านหนังสือเล่มไหนนอกจากนั้น เขามักจะเป็นคนที่หอบหนังสือพิมพ์ขึ้นไปขายบนรถทัวร์โดยสังเกตตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วว่าใครยังไม่ได้ซื้อหนังสือนี่ถือเป็นหลักการเชิงรุกที่แม้ลูกค้าไม่เดินมาหา เขาก็จะเดินขึ้นไปหาลูกค้าเอง
5. ใช้ประสบการณ์ให้เป็นประโยชน์
ย้อน กลับไปมองการทำธุรกิจของตันเมื่อหลายปีก่อนแทบจะทุกธุรกิจเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกบนเส้นทางความสำเร็จเต็มไปด้วยอุปสรรคแต่พอผ่านมันไปได้ก็ไม่กลัวปัญหาแล้วปัญหากลายเป็นเพื่อนสนิทเสียอีกให้เพื่อนสนิทเป็นผู้แนะนำไปสู่ทางแห่งความสำเร็จบทเรียนจากความล้มเหลวสำคัญมาก แต่ก็ไม่ได้อยากให้คุณล้มเหลวทุกครั้งนะครับ ผมล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความล้มเหลวอย่างเดียวที่ทำให้ผมสำเร็จแต่ผมรู้จักเรียนรู้และพูดคุยจากคนอื่นเพิ่มขึ้นต่างหาก
6. ตอนเล็กๆ ต้องคิดใหญ่ ตอนใหญ่ๆ ต้องคิดเล็ก
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!เพราะตอนที่เรายังมีทุนน้อย ถึงเราจะคิดใหญ่มันก็ไม่ใหญ่เท่าไรหรอกแถมยังไม่มีใครให้กู้เงินได้มากมายหากจะคิดใหญ่ก็ยังสามารถทำได้เพราะความเสียหายมันมีข้อจำกัดในเมื่อมีทุนอยู่เพียงเท่านี้จะต้องไปกลัวอะไรแต่สมมติวันที่โออิชิมี 6-7 พันล้าน ถ้าผมไปคิดเป็นหมื่นๆล้านแล้วพลาดมันจะเป็นยังไงรู้ไหมเละ!ตันย้ำ
ดังนั้นเขาเชื่อว่า เมื่อองค์กรเติมใหญ่กลับต้องคิดเล็กคิดว่าจะทำอย่างไรให้ปลอดภัยมั่นคงแล้วเราจะเอาประสบการณ์ที่เราเคยประสบในครั้งที่เราล้มเหลวในตอนเล็กๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือ ณ วันนี้ มีเงินในมือ 300 กว่าล้านบาท ตันบอกว่าถ้าผมโลภมาก อยากหาเงินเป็นหมื่นล้านมาขยายธูรกิจ ก็ไม่ยากเลย เพราะตอนนี้ทั้งเครดิต ชื่อเสียง จะขอเงินกู้จากธนาคารก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่สมควรไหมเขาจึงเลือกยุทธศาสตร์ที่จะเข้าร่วมกับค่ายธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่มเจริญ สิริวัฒนภักดี เพื่อความมั่นคง และยังได้เครือข่ายทั้งการตลาด และโรงงานผลิตที่จะช่วยลดต้นทุนได้ดี
7. การสร้างแบรนด์
ต้องมีการสื่อสารการตลาดและกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของตลาดเพราะเมื่อแบรนด์เป็นที่นิยมยอมรับจะเป็นสินทรัพย์อันมีค่าที่สามารถออกผลิตภัณฑ์เป็นมูลค่าต่อเนื่องไม่รู้จบ
8. ใช้แบรนด์สร้างเงิน
ในระยะแรกของการทำธุรกิจ ตันบอกว่าคนเราจะต้องเอาเหงื่อไปแลกเงินจากนั้นเมื่อมี เงินแล้ว ก็สามารถเอาเงินไปและเงินที่มากขึ้นได้ทว่าในวันนี้ของตัน เขาอยู่ในห้วงเวลาที่สามารถเอาแบรนด์ไปสร้างเงินได้
9. ไม่ยึดติดในกรอบความคิดเก่าๆ
นับเป็นแนวคิดที่นักการตลาดพยายามกระตุ้น เพื่อให้เกิดนวัตกรรมโดยใช้คำว่า การคิดนอกกรอบ ตันบอกว่าการคิดนอกกรอบที่มีการพูดถึงหลายวงการ ดูเหมือนยาก แต่ก็ง่าย ดูเหมือนง่าย แต่ก็ยาก
ความสำคัญอยู่ที่ต้องเข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคและด้วยจุดยืนในการทำธุรกิจของตันที่ต้องการทำเงิน ขณะที่ต้องการทำสิ่งท้าทายด้วยดังนั้นเขาจึงใฝ่ใจศึกษาหาสิ่งใหม่ๆและก็กล้าริเริ่มสร้างสรรค์
ผมเป็นคนไม่เชื่อว่าชาเขียวต้องใช้กล่องสีเขียวเพราะตอนที่ตันออกชาเขียวนั้นในตลาดมีคนครองตลาดแล้ว 5 ราย ความพยายามสร้างความแตกต่างตั้งแต่การศึกษาหาแบบกล่องบรรจุและทดลองไปวางในร้ายสะดวกซื้อเพื่อทดสอบความสนใจของผู้บริโภคก็ทำมาแล้วจนสำเร็จ
ยุทธศาสตร์ของตัน
แม้วันนี้กลุ่มของเจริญได้เข้าถือหุ้นใหญ่ของโออิชิ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่มุ่งไปสู่กลุ่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ตันยืนยันว่า โออิชิไม่เปลี่ยนแนวทางธุรกิจ ตามที่เขากำหนดวิสัยทัศน์ธุรกิจไว้ว่า
เราจะมุ่งมั่นทำธุรกิจที่เกี่ยว กับร้านอาหารญี่ปุ่น และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เกิดประโยชน์กับสังคมเท่านั้น
การเปลี่ยน แปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้จึงเท่ากับกลุ่มเจริญได้ทั้งความเป็นขุนพลใหญ่มืออาชีพของตันและได้แบรนด์ตลาดโออิชิไปด้วย




สินค้าชาเขียวของโออิชิ
OISHI PRODUCTS
OISHI GREEN TEA
เป็นทางเลือกใหม่ของเครื่องดื่ม สำหรับผู้ที่รักและใส่ใจในสุขภาพ เพราะ โออิชิ กรีนที ผลิตจากยอดใบชา เขียวสดแท้ 100% ผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย พิถีพิถัน คงรสชาติและคุณค่าดั้งเดิมไว้อย่างครบครัน โออิชิ กรีนที ใช้น้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ให้ความหวานตามธรรมชาติ สกัดจากผักและผลไม้ โดยให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 1.6 เท่า ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้เร็วกว่าน้ำตาลปกติ อีกทั้งยังให้ปริมาณแคลอรี่ต่ำ
ปัจจุบัน โออิชิ กรีนที มีชา เขียวสดแท้ 100% เขียวทั้งหมด 5 รสชาติ ได้แก่ รสต้นตำรับ รสน้ำผึ้งผสมมะนาว รสไม่มีน้ำตาล รสข้าวญี่ปุ่น และ CG slim 300 ซึ่งเป็นชา เขียวที่มีปริมาณคาเทชินเข้มข้นมากกว่าชาปกติถึง 3 เท่า ซึ่งสารคาเทชินมีคุณสมบัติช่วยลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้เรายังมีการคิดค้นและพัฒนาในเรื่องของรสชาติให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกบริโภคตามความต้องการ



โออิชิแบล็คที
เพิ่มคำอธิบายภาพ
ภายใต้สภาวการณ์ที่เคร่งเครียด ทั้งจากเรื่องงาน เรื่องเรียน ฯลฯ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย อันเป็นสาเหตุให้ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนแรง ขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ โออิชิ แบล็ค ที หรือ OISHI Black Tea นวัตกรรมล่าสุดสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ กับส่วนผสมที่ลงตัว ทั้ง ชาดำ (Black Tea) และ ชาเขียว (Green Tea) ซึ่งต่างก็อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และสารคาเทชิน (Catechines) ที่มีส่วนช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเลือกใช้น้ำตาลฟรุ๊กโตส (น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) ที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติถึง 1.6 เท่า มาเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกด้วย บ่ายแก่ๆ แบบนี้...กระดก โออิชิ แบล็ค ที เวิร์คมาก !!!


OISHI CHAKUZA
เครื่องดื่มนวัตกรรมใหม่ ครั้งแรกของเมืองไทย ใหม่!! โออิชิ ชาคูลล์ซ่า รสชาติความอร่อยที่แตกต่าง ด้วยความอร่อยและมีประโยชน์จากชาเขียวที่ชงจากสุดยอดใบชาเขียวแท้ธรรมชาติที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี โดยเพิ่มความ...ซ่า เพื่อให้เกิดความสดชื่นมากยิ่งขึ้น จึงเป็นความซ่าที่มาพร้อมกับประโยชน์ของชาเขียวที่ไม่เหมือนใคร



โออิชิฟรุตโตะกรีนที
ขอแนะนำ โออิชิ ฟรุตโตะ ใหม่!! ... เครื่องดื่มชาเขียวจากยอดอ่อนใบชาออร์แกนิคแท้ธรรมชาติ ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน มิกซ์รวมกันกับผลไม้จากต่างประเทศ 2 ชนิดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ให้ได้รสชาติความอร่อยแบบใหม่ที่แตกต่างแต่ลงตัว ดื่มความอร่อยของรสชาติเปรี้ยวอมหวาน สดชื่นได้แบบเต็มๆ แถมยังได้กลิ่นหอมละมุนของชาและผลไม้นานาชนิด ที่สัมผัสได้ตั้งแต่เปิดขวด ความแปลกใหม่อย่างนี้แหละ เชื่อเลยว่าไม่เคยลองจากที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ลองเลย!!! กับ 3 รสชาติใหม่มีสไตล์ ทั้งรสสตรอเบอร์รี่เมลอน รสเลมอนเบอร์รี่ และรสแอปเปิ้ลเขียว องุ่นขาว

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโออิชิ
การเปิดตัวรสชาติใหม่เมื่อเร็วๆนี้คือรส ลิ้นจี่และกลุ่มแพกเกจแบบขวดสลิม มั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะทำรายได้ให้โออิชิในสัดส่วน 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% ขณะที่แบบขวดราคา 20 บาท ยังทำรายได้มากสุดที่ 65% ที่เหลืออีก 20% มาจากแบบกล่อง และแบบขวดลิตร
                “การดึง ต่อ-เก้า-มาร์ช” นักแสดงนำจากซีรี่ส์ออนไลน์สุดฮิต Hormones วัยว้าวุ่นทำใหดึงดูดความสนใจของวัยรุ่น ดังนั้นการใช้พรีเซนเตอร์จากซีรี่ส์เรื่องนี้  เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการขยายฐานไปสู่กลุ่มวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ผ่านการทำตลาดแบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง
จากการที่บริษัทจะใช้แพกเกจแบบขวดสลิมขับเคลื่อนตลาดชาเขียวเป็นหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสการเติบโตสูง เป็นช่องว่างของตลาด หลังจากที่เข้าสู่ตลาดนี้ 6 เดือนได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย และในตลาดรวมแบบขวดสลิมเพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอายุ 15-25 ปี ส่วนมากยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองแต่ราคาขวดสลิมขนาด 380 มล. ราคา 15 บาท กลุ่มลูกค้ามองว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเกินไปและรูปแบบขวดสลิมกลุ่มลูกค้ามองว่าถ้าดื่มผลิตภัณฑ์นี้จะทำให้มีรูปร่างและหุ่นดีเพราะเหตุนี้จึงทำให้มียอดขายมากกว่ารูปแบบแพกเกจจิ้งอื่นมาก


วิสัยทัศน์และพันธกิจของบริษัทโออิชิ
วิสัยทัศน์
-                   เป็นผู้นำและสร้างสรรค์ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนรุ่นใหม่
พันธกิจ
-                   รักษาคุณภาพการผลิตและการบริการธุรกิจ ทางด้านอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ มุ่งมั่นสร้างและรักษาความนิยมของผู้บริโภค ในสินค้าของ "โออิชิ" ให้มีความต่อเนื่อง อีกทั้งให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการจัดการด้านสุขลักษณะที่ดี
-                   เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพปลอดภัยและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า เพื่อให้ได้รับการยอมรับ จากทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
-                   ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์

-                   เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการแข่งขัน ในด้านราคาและด้านคุณภาพ กับคู่แข่งขัน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทย มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นงตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
การกำหนดแผน
แผนกลยุทธ์/กลยุทธ์ระดับองค์กร
 กลยุทธ์ของโออิชิ ใช้เรื่องของ โปรโมชั่นและช่องทางการจัดจำหน่าย
                การใช้กลยุทธ์แบบแจกกันทุกนาที และเป็นกิจกรรมกระหน่ำ ซึ่งเราจะเห็นในยุคที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ดังนั้นกิจกรรมแบบนี้จึงเป็น Tool ที่ใช้ได้ผลของ Promotion Mix”
                การใช้กลยุทธ์มุ่งตรงแบบนี้ ในเชิงการตลาดอาจเรียกว่า “Frontal Attack” โดยใช้การเข้าตีแบบ ตีจุดแข็งคู่แข่ง เช่น  กลยุทธ์ของโออิชิ โดยใช้กลยุทธ์ 1 ฝา 1 ล้าน
 รวยฝาประทาน ฝันเป็นล้านยิ่งดื่ม ฝันยิ่งเป็นจริง ดีเดย์  Promotion โออิชิ กรีนที 2ขวด 25 บาท ที่ 7-11 เศรษฐีเงินล้าน กับรหัสโออิชิลุ้นรวยทุกชั่วโมง เป็นต้น อีกทั้งยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายโดยโออิชิ ผนึกไปกับเบียร์ช้าง ขยายจุดจำหน่ายให้ครอบคลุมตั้งแต่ โมเดิร์นเทรด ร้านค้าดั้งเดิม ลานเบียร์ เป็นต้น
กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ
                ในปี 2556 โออิชิ คาดการณ์การเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้น 32% คิดเป็น 15,300 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะมุ่งสร้างการเติบโตด้วยกิจกรรมทางการตลาดที่โดดเด่นและหลากหลาย เพื่อการขยายตลาดให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
                สำหรับสายงานธุรกิจเครื่องดื่ม ได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 33% โดยในฐานะผู้นำตลาด นอกจากจะมุ่งขยายตลาดไปยังต่างประเทศ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตด้วยกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกโอกาสในการดื่มและการส่งเสริมตลาดให้ผู้บริโภคได้รับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้ทั่วถึงเพื่อขับเคลื่อนตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยผลิตภัณฑ์
                 








คู่แข่งของธุรกิจโออิชิ !!! 
         กรณีเลือก บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด
ประวัติความเป็นมา
บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด จัดตั้งโดย คุณตัน ภาสกรนที เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยใน
การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้นใช้ชื่อว่า บริษัท ไม่ตัน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งประกอบด้วย
ผลิตภัณฑ์ น้ำผลไม้ผสมดับเบิลดริงก์ และชาเขียวอิชิตัน ทั้งนี้ คุณตันประกาศคำมั่นสัญญา ในการ
ดำเนินงานของบริษัทว่า ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินกิจการ เขาและภรรยาจะแบ่งครึ่งหนึ่งของเงินปันผลที่ได้จาก
บริษัทฯ ในส่วนที่ทั้งสองถือหุ้นอยู่ ให้กับมูลนิธิตันปัน เพื่อพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อตั้งขึ้น
ในช่วงเดียวกันนั้น จนกระทั่งเมื่อตันมีอายุครบ 60 ปี คือเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
เขาจะเพิ่มเงินบริจาคจากส่วนที่ได้รับปันผล ขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 อีกด้วย และปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อ
เป็น บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด
กรรมวิธีการปลูกชาเขียวออร์แกนิคปลอดสารเคมี
แหล่งผลิตชาของเรานั้นอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่มีอุณหภูมิอบอุ่น เพื่อให้ใบชา ได้ดูดซับรสหวานหอมจากละอองไอน้ำค้าง บวกกับคุณค่าของดินอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุจากน้ำที่พัดพามาจากยอดเขาสูง ทำให้ใบชาทุกใบเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมอันมีเอกลักษณ์
   การดูแลอย่างพิถีพิถัน ควบคุมปริมาณน้ำ สารอาหารในดิน และแสงแดดตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ปุ๋ยเคมีหรือฉีดยาฆ่าแมลง แม้จะใช้เวลานานกว่า แต่เราก็เลือกที่จะอดทนรอในการค่อยๆ ฟูมฟักต้นชาของเราให้โตขึ้นจนได้ขนาดโดยปราศจากสิ่งปรุงแต่งที่ธรรมชาติไม่ยอมรับ แม้จะมีแมลงเกาะกินใบตามธรรมชาติอยู่บ้างแต่นั่นก็ทำให้เราแน่ใจว่า ผู้ดื่มอิชิตันออร์แกนิคกรีนทีจะได้สัมผัสกับรสชาติชาเขียวแท้ๆ แบบไร้สารเคมีเจือปนเข้าสู่ร่างกาย
 การบำรุงสารอาหารในดินทั้งหมดนั้น ไร่ชาออร์แกนิคของเราเลือกใช้ปุ๋ยธรรมชาติแทนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ตามแนวทางการเกษตรวิถีธรรมชาติ นอกจากนี้ อิชิตันออร์แกนิคกรีนที ยังปฏิเสธกับกรรมวิธีการตัดแต่งพืชทางพันธุกรรมเพื่อให้ได้ผลผลิตใบชาเพิ่มขึ้นหรือขนาดใบใหญ่ขึ้นโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่เราตัดสินใจเลือกเดินช้าๆ ตามรอยที่ธรรมชาตินำทางอย่างตั้งใจ
     จนกระทั่งถึงช่วงกลางปี บรรดาต้นชาจะพากันแตกหน่อ ชูยอดสีเขียวอ่อนไปทั่วทั้งไร่ ภายใต้แสงแดดรำไร ทำให้เกิดกลิ่นที่หอมสดชื่น และรสชาติที่หอมหวานในแบบฉบับของชาเขียวแท้ๆ ก็นับว่าเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวยอดอ่อนใบชาโดยผู้เชี่ยวชาญจะทำการคัดเลือกต้นชาที่มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะเข้าสู่กรรมวิธีการชงชาอันละเอียดอ่อน เพื่อสร้างกลิ่นรสแห่งชาเขียวอันละมุนละไมที่สุดในแต่ละปีซึ่งการคัดเลือกใบชานั้น อิชิ



ตันออร์แกนิคกรีนที จะคัดเฉพาะ 3 ยอดใบบนเท่านั้น และจะต้องเริ่มต้นเด็ดยอดอ่อน
ศาสตร์แห่งการปรุงชา
การชงชา นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ต้องใช้ความประณีต ละเอียดอ่อน ทั้งในการตรวจวัดอุณหภูมิของน้ำ การกะเวลาเพื่อปรุงชาในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้ได้กลิ่นหอมสดชื่นของใบชาสด และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่ใช่การเติมน้ำตาลและสารเคมีเพื่อความอร่อย แต่เป็นการขับกลั่นกลิ่นรสของใบชาแท้ๆ ให้ออกมาได้อย่างเต็มที่ จนเกิดความละมุนละไมของรสชาอย่างแท้จริง นับเป็นภูมิความรู้ที่คุณตันสั่งสมประสบการณ์มากว่า 10 ปีบนเส้นทางของชาเขียว จนค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการผลิตชาเขียวแท้ บริสุทธิ์ และเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณที่ทุกคนแสวงหา
ในขั้นตอนนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอน คือการเตรียมชา การชงชา และการปรุงชา
การเตรียมชา :
เมื่อนำใบชาสดมาสู่ห้องพักชา ใบชาเหล่านี้ จะถูกผึ่งให้แห้งเพื่อเคลื่อนส่วนประกอบของน้ำออกจากใบชา โดยเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งจะทำให้ได้ใบชาที่มีลักษณะอ่อนนิ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคายกลิ่นและรสได้อย่างเต็มที่ขณะเข้าสู่ขั้นตอนการชงชา
การชงชา :
ในขั้นตอนนี้โดยปกติของการผลิตชาเขียวทั่วๆ ไปนั้น มักจะนำใบชาไปแช่ในน้ำเดือดจัดเป็นเวลานาน เพื่อประหยัดต้นทุน ซึ่งจะทำให้รสขมฝาดของชาถูกปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก จนต้องดับกลิ่นรสด้วยสารปรุงแต่งมากมาย คุณตันจึงเอาใจใส่ ค้นคว้าจนค้นพบกรรมวิธีใหม่ โดยเริ่มจากการตวงใบชาให้พอเหมาะ จากนั้น นำไปผ่านน้ำร้อนเพียงไม่กี่นาที แล้วค่อยๆ เติมดอกชาเข้าไปผสมและนำไปผ่านน้ำร้อนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเสียเวลาถึงสองเท่าเพราะนี่คือการต้มชาถึง 2 รอบ แต่กระบวนการชงชานี้จะทำให้ได้น้ำชาที่มีสีทองใสสะอาด รสหอม หวานละมุน ชื่นใจ เป็นชาเขียวออร์แกนิค ที่คุณตัน ชงจากใจ...ชงสุดฝีมือ
การปรุงชา :
ความหวานในรสชาติต่างๆ ของอิชิตันออร์แกนิคกรีนทีนั้น เป็นความหวานที่ได้มาจากเกสรดอกลิ้นจี่จากไร่
ความมหัศจรรย์ของชาเขียว                                                                                                         
ชาเขียวแท้ที่มีคุณภาพนั้น จะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายในยอดใบชาอ่อนเหล่านี้
มีฤทธิ์คาเฟอีนอ่อนๆ : ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสดชื่น แจ่มใส
มีส่วนช่วยในระบบขับถ่าย : โดยชาเขียวจะกระตุ้นให้การขับน้ำปัสสาวะเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น
ขยายหลอดลม : ช่วยให้ระบบการหายใจเป็นไปอย่างปกติ
สามารถบรรเทาอาการท้องเสียได้เป็นอย่างดี : เนื่องจากชาเขียว มีสรรพคุณในการปรับสมดุลให้ระบบขับถ่ายในร่างกายกลับมาเป็นปกติ
ละลายไขมันในหลอดเลือด : ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตภายในร่างกายเป็นไปอย่างสะดวก และยังสามารถช่วยปรับสมดุลความดันโลหิตได้อีกด้วย
มีสารฟลูออไรด์ในปริมาณมาก : ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างให้กระดูก และฟันแข็งแรง
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายให้กลับเป็นปกติ : ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้เป็นอย่างดี  ประโยชน์ของชาเขียวยังมีอีกมากมาย นับเป็นเครื่องดื่มคุณภาพที่นอกจากจะมีกลิ่นหอมสดชื่น และรสชาติหวานกลมกล่อมแล้ว ยังมีคุณประโยชน์รอบตัวแบบที่จาระไนไม่หมด นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่าทำไม ชา จึงกลายเป็นเครื่องดื่มอันดับ 2 ของคนทั้งโลก
อิชิตันแตกต่างและเหนือกว่า
อิชิตัน ผู้นำชาเขียวออร์แกนิค จากธรรมชาติ ปลอดสารเคมี เป็นรายแรกและรายเดียวในเมืองไทยที่ผลิตชาเขียวออร์แกนิค จากประสบการณ์อย่างยาวนานด้านชาเขียวของคุณตัน เราจึงใส่ใจและพิถีพิถันตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บยอดอ่อนใบชา ตลอดจนความพิถีพิถันในขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้รสของสุดยอดชาด้วยการชงชาวิธีดั้งเดิม โดยการผ่านน้ำร้อนหลายๆ ครั้ง แทนการต้มชาในน้ำเดือด เพิ่มความหอมด้วยการเติมดอกชาเข้าไป พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การชงชา และใช้ใจทำ
ชาชงจากใจชงสุดฝีมือ ของผม
สินค้าชาเขียวอิชิตันออร์แกนิค






อิชิตันยูเอชที




แหล่งเงินทุนของธุรกิจนี้ได้มาจากที่ใดบ้าง
ตัน ภาสกรนที (4 เมษายน พ.ศ. 2502 - )เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)ในพ.ศ. 2551และภายหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ กรุ๊ปโดยจะมีผลในเดือนกันยายน 2553[2]
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เมื่อ ตัน อำลาจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตัน ก็ได้สร้างบริษัทขึ้นใหม่ชื่อว่า บริษัท ตันไม่ตัน จำกั ด โดย ตัน ภาสกรนที ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า  "ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม
เจ้าของธุรกิจนี้ มีประสบการณ์
ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2502 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีฐานะปานกลาง ที่บิดาอพยพมาจากประเทศจีน และได้ตั้งรกรากที่จังหวัดชลบุรี ตันจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ เริ่มต้นค่าแรงในการทำงาน 700 บาท และหันมาทำอาชีพพ่อค้าแผงหนังสือที่ชลบุรี และได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์[4]
ตัน เริ่มต้นธุรกิจ โออิชิภัตตาคารบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน จนกระทั่ง มาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียวโออิชิ และ อะมิโน โอเค
ปัจจุบันสมรสกับ อิง สุนิสา ภาสกรนที (สกุลเดิม: สุขพันธุ์ถาวร) หลังจากแยกทางจากภรรยาคนแรก และมีลูก 3 คน : กิ๊ฟ วริษา (เกิดกับภรรยาคนแรก) , เก็ท และ ใกล้ใกล้
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัทโออิชิ ต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทแล้ว โดยจะมีผลในวันที่ 9 ก.ย.นี้ แต่จะยังไม่ขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ร้อยละ 3.50 และแม้ตนเองจะลาออกแต่ภรรยายังคงทำงานที่โออิชิ เหมือนเดิม
 ตัน โออิชิ ระบุว่า การลาออกดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับคณะกรรมการ ผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารคนอื่นแต่อย่างใด เพียงแต่อยากพักผ่อน และต้องการหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหารอย่างจริงจัง อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางให้ผู้บริหารรุ่นใหม่สืบทอดตำแหน่งดังกล่าวต่อไป ด้วย อย่างไรก็ตาม จะมีแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการลาออกของ ตัน โออิชิ อีกครั้ง ในวันนี้ (29 ก.ค.)
 สำหรับ "ตัน ภาสกรนที" หรือ "ตัน โออิชิ" เชื่อว่านาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเขา ในฐานะเจ้าพ่อแห่งอาณาจักร ผู้ร่ำรวยมหาศาล แต่ใครจะรู้บ้างว่า ชีวิตจริงของ "โออิชิ" "ตัน" กว่าจะได้แต่งงาน กว่าจะมีลูก และกว่าจะก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้ เขาต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย แต่โชคดีที่ "ตัน" มี "อิง สุนิสา" ภรรยาคู่ใจคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
   ชีวิตของ "ตัน ภาสกรนที" เริ่มต้นไม่ได้สวยหรูนัก เขาเกิดจากครอบครัวที่มีฐานะธรรมดาๆ และได้เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเป็นพนักงานแบกของ ก่อนจะเป็นพ่อค้าขายหนังสือ จนมีเงินเก็บสามารถซื้อห้องแถวเล็กๆ ได้ และต่อมาได้ขยับขยายจนกลายเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
     จากนั้น "ตัน" ก็ได้รู้จักกับ "อิง สุนิสา สุขพันธ์ถาวร" เด็กสาวชลบุรีที่มีอายุห่างจากเขาถึง 11 ปี และเกิดความประทับใจกัน แต่ทว่าการคบหาของทั้งคู่กลับถูกกีดกันจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ถึงกระนั้นพวกเขาก็แอบคบหาติดต่อกันมาโดยตลอด จนในที่สุด "ตัน" ตัดสินใจเข้าไปขอ "อิง" จากพ่อของเธอ แต่ไม่ได้รับการอนุญาต ถึงขนาดที่พ่อของ "อิง" ประกาศกร้าวว่า "หากจะแต่งงานกันต้องข้ามศพพ่อไปก่อน"
   จนเมื่อพ่อของ "อิง" เสียชีวิต แม่ของ "อิง" ก็ยังคงยึดเจตนารมณ์ของ "พ่อ" ที่จะกีดกันความรักของทั้งคู่ต่อไป แต่แล้วเหตุการณ์กลับเปลี่ยนแปลง เมื่อแม่ของอิงประสบอุบัติเหตุ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า หากตัวเองเป็นอะไรไป ลูกๆ จะไม่มีคนดูแล ดังนั้นแม่จึงอนุญาตให้ "อิง" แต่งงานกับ "ตัน" ได้ ทว่าเป็น "ตัน" เองที่กลับปฏิเสธ และขอเลื่อนงานแต่งงานออกไป เนื่องจากในช่วงนั้น "ตัน" ได้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย และมีหนี้สินติดตัวกว่า 100 ล้านบาท จากการลงทุนทางธุรกิจ ด้วยความรักที่มีต่อ "อิง" ทำให้ "ตัน" ไม่ต้องการเห็นว่าที่ภรรยาต้องมาตกระกำลำบากไปกับเขาด้วย

       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ "ตัน" จะมีหนี้สินกว่า 100 ล้านบาท "อิง" ก็ไม่ได้ทอดทิ้ง หรือเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อ "ตัน" ไปแต่อย่างใด เธอและ "ตัน" ได้เริ่มต้นทำธุรกิจเวดดิ้งถ่ายรูปแต่งงาน เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ซึ่งความแปลกใหม่ของธุรกิจเวดดิ้งก็ทำให้พวกเขาสามารถหาเงินมาใช้หนี้กว่า 100 ล้านได้หมดภายใน 2 ปี จนในที่สุดพวกเขาก็ได้แต่งงานกันตามปรารถนา หลังจากผ่านพ้นมรสุมในชีวิตมาอย่างมากมาย และเริ่มคิดทำธุรกิจอาหารญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ "โออิชิ" ซึ่ง ณ ปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
 ผ่านพ้นเรื่องราวของการงาน และธุรกิจไป เหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสดใส "ตัน" และ "อิง" จึงเริ่มวาดฝันที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น โดย "อิง" คิดจะมีทายาทตัวน้อยๆ 5-6 คน ให้ได้ก่อนอายุ 35 ปี แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนมีลูกยาก และฮอร์โมนผิดปกติ ทำให้เธอตัดสินใจทำกิ๊ฟท์ ซึ่งนั่นทำให้ "อิง" ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อเจาะน้ำออกจากร่างกาย และฉีดยาทุกๆ วัน จนในที่สุดหนึ่งปีผ่านไป พวกเขาก็ได้ลูกชาย ชื่อ "น้องเก็ท" สมใจ
  และด้วยความที่ "ตัน" และ "อิง" อยากมีลูกหลายๆ คน "อิง" จึงตัดสินใจพึ่งกระบวนการทางการแพทย์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะ "อิง" กลับแท้งลูก แต่พวกเขาก็ไม่ล้มเลิกความพยายาม "อิง" ได้ลองทำกิ๊ฟท์อีกครั้ง และผลก็คือ "อิง" แท้งลูกอีกเป็นหนที่สอง และหนที่สามตามมา
   "ตัน" และ "อิง" ยังคงไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทำกิ๊ฟท์มาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพวกเขาก็มาประสบความในครั้งที่ 7 เมื่อ "อิง" ตั้งครรภ์แฝด 3 แต่ครั้งนี้ "ตัน" ต้องการให้ "อิง" นอนพักที่โรงพยาบาลเท่านั้น เขาจึงเนรมิตโรงพยาบาลให้กลายเป็นบ้าน และที่ทำงานตลอดระยะเวลากว่า 10 เดือน เพื่อดูแลภรรยาและลูกในครรภ์ให้ดีที่สุด แต่สุดท้าย "อิง" ก็ต้องเสียลูกในครรภ์ไป 2 คน เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ "น้องใกล้ใกล้" ที่คลอดออกมาได้สำเร็จ นั่นทำให้ "อิง" ตัดสินใจได้ว่า จะมีลูกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น และจะเลี้ยงดูพวกเขาให้ดีที่สุด สมกับความยากลำบากที่กว่าจะได้ลูกมา
และนี่คือเรื่องราวชีวิตที่ต้องฟันฝ่า ทั้งเรื่องธุรกิจ และเรื่องครอบครัวของ "ตัน ภาสกรนที" ที่กว่าจะมาเป็น "เจ้าพ่อโออิชิ" และมีครอบครัวที่อบอุ่นน่าอิจฉาดังเช่นทุกวันนี้ เขาและภรรยาต้องเผชิญกับอุปสรรคมานานัปการ เชื่อว่าเรื่องราวของ "ตัน ภาสกรนที" คงให้ข้อคิด และเป็นกำลังใจให้แก่คนที่ต้องต่อสู้ชีวิตอยู่ ได้เป็นอย่างดี


กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนี้
1.เจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 15-40 ปีขึ้นไป ทั้งกลุ่มผู้หญิงและผู้ชาย
2.วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นชาเขียว ออร์แกนิค กรีนที 100% เพื่อให้สอดรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรงทั่วโลก และเทรนด์ออร์แกนิคที่กำลังได้รับความนิยม
3.ใช้บรรจุภัณฑ์ขนาด 420 มล. อยู่ตรงกลางระหว่างบรรจุภัณฑ์หลัก 2 ขนาด ที่มีใช้มากที่สุดในตลาดคือ ขนาด 500 มล.ซึ่งมีข้อเสียเปรียบ คือ ปริมาณมากเกินไปสำหรับผู้หญิงและเด็ก และขนาด 350 มล.ปริมาณน้อยเกินไปสำหรับผู้ชาย
4.วางจำหน่ายในราคา 16.00 บาท เป็นตำแหน่งราคาที่มีอิชิตันเชื่อว่ามีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับขนาด 350 มล. และยังมีราคาต่ำกว่าขนาด 500 มล. ที่วางจำหน่ายในช่วงราคา 18.00-20.00 บาท
5.เลือกการออกแบบแพกเกจจิ้งให้ดูทันสมัย สะดุดตาผู้ซื้อเมื่อวางเทียบกับสินค้าคู่แข่งอื่นๆในตู้แช่
6.วางจำหน่าย 3 รสชาติ พร้อมกัน คือ ออริจินัล , น้ำผึ้งผสมมะนาว และเก๊กฮวย ซึ่งรสออริจินัล , น้ำผึ้งผสมมะนาว เป็นสองรสชาติหลักที่มีสัดส่วนการขายค่อนข้างมาก
7.การเริ่มต้นด้วยสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟในเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในการแจ้งเกิดชาเขียวแบรนด์ โออิชิเพราะเครือข่ายของร้านสะดวกซื้อเบอร์ 1 แห่งสยามประเทศนี้ จะช่วยตอกย้ำการรับรู้ในตราสินค้าและก่อให้เกิดการทดลองซื้อเพื่อ ชิมแก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีหลังจากได้เห็นสินค้าจากการโฆษณาในหลากหลายสื่อมาก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ดีในช่วงแรกนี้แม้ว่าอิชิตันจะไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาด แต่ต้องการเป็นอันดับ 1 ในด้านของคุณภาพในการผลิตชาที่ดีสู่ผู้บริโภคก็ตาม เพราะเครือข่ายการกระจายสินค้าที่เลือกใช้ดีเคเอสเอชให้เป็นผู้กระจายสินค้านั้นต้องใช้เวลา 1-2 ปี สินค้าถึงจะเข้าถึงมือผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกช่องทาง
แต่จากการลงทุน 2,400 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตที่มีกำลังการผลิตถึง 15 ล้านขวดต่อเดือน ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นั้นเป็นสิ่งยืนยันถึงเป้าหมายในอนาคตของสินค้าตัวนี้และในเครืออื่นๆได้เป็นอย่างดีว่าจริงจังในระดับ มากถึงมากที่สุด
การรุกครั้งนี้ผลกระทบจึงไม่ได้อยู่แค่ผู้นำตลาดอย่างแบรนด์โออิชิหรือแบรนด์ชาเขียวในตลาดอื่นๆเท่านั้น แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการในตลาดเครื่องดื่มต่างจับตามองก้าวต่อไปของอิชิตันกันทั้งนั้น เพราะหลายรายต่างรู้ซึ้งถึง กึ๋นของ ตัน ภาสกรนทีดีว่า ชายผู้นี้มีความแหลมคมขนาดไหน พิสูจน์ได้จากผลงานการสร้างแบรนด์โออิชิที่ผ่านมา ถึงขนาดในช่วงเวลาหนึ่งตลาดเครื่องดื่มหลายๆชนิดต้องกบดานนิ่งๆเพื่อหลีกทางให้กระแสชาเขียวโออิชิมาแล้ว




คู่แข่ง โออิชิ vs อิชิตัน
ตัน โออิชิ ชื่อนี้สำหรับคอชาเขียวก็ไม่มีใครไม่รู้จัก โดยประวัติการทำธุรกิจของชายคนนี้น่าสนใจมากทีเดียว เพราะดูเหมือนจะจับต้องธุรกิจใดก็ต้องมีอันต้องดังเป็นพรุแตกทุกครั้งไป จนวันนี้มาถึงธุรกิจล่าสุด ของ อิชิตัน ลองมาอ่านและศึกษาการแข่งขันในธุรกิจ ทั้งอดีตและปัจจุบัน น่าสนใจทีเดียวเชียว
จุดแข็งโออิชิพลังเครือข่าย
            การมีเครือข่ายการจัดส่งและร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่มหลากหลายภายใต้บริษัทเดียวกันของไทยเบฟฯ ทำให้กระจายสินค้าได้กว้างและทั่วถึง และมีอำนาจต่อรองกับร้านค้าที่เป็นประโยชน์ต่อการผลักดันยอดขายโออิชิโดยเฉพาะช่องทางการขายผ่าน Traditional Trade ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของโออิชิที่กระจายผ่านช่องทางเครือข่ายของไทยเบฟฯ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ขายผ่านเอเย่นต์ต่างๆ ที่ส่งต่อให้ยี่ปั๊ว ซาปั๊วทั่วประเทศ อีกส่วนคือ ขายผ่านคู่ค้าแต่ละจังหวัดของไทยเบฟฯ ที่รับทำหน้าที่กระจายสินค้าทั้งหมดในเครือ ไปสู่ร้านค้าโชห่วยอีกต่อ คล้ายกับระบบตั้งตัวแทนของยูนิลีเวอร์ ขณะที่อีกช่องทางหนึ่งคือ เสริมสุข ที่เป็นช่องทางจำหน่ายหลัก เข้าไปในร้านค้า ตู้แช่ ที่ไทยเบฟฯ ไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดนี้ สามารถครอบคลุมร้านค้า เกือบ 1.5 -2 แสนร้านค้าทั่วประเทศสำหรับช่องทางขาย เซเว่นอีเลฟเว่น หรือ โมเดิร์นเทรด ด้วยเครือข่ายที่มีอยู่จำนวนมากของเครือข่ายเหล่านี้ ยากต่อการที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะควบคุมได้ ขึ้นอยู่กับสินค้าเป็นหลักว่าจะทำตลาดได้ดีแค่ไหนความหลากหลาย
             ข้อได้เปรียบของการเป็นเบอร์ 1 ในตลาดที่อยู่มาก่อน ทำให้โออิชิมีจุดเด่นเรื่องความหลากหลายของสินค้า รสชาติ ขนาดแพ็กเกจจิ้ง และราคา ที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มให้เลือกมากกว่า
พลังทุนเงินทุนเครือข่ายอาณาจักรธุรกิจของไทยเบฟฯ ที่ครอบคลุมทั้งเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์ ประกันชีวิต เป็นหลักประกันความพร้อมเรื่องเงินทุน ซึ่งทุกสินค้าต้องการ เพื่อสามารถทดลองออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว เช่น การออกชาคูลล์ซ่า ซึ่งถือเป็นสินค้าที่นวัตกรรมอย่างแท้จริง ส่วนรสชาติและยอดขายจะเป็นที่ตอบรับของตลาดหรือไม่ต้องวัดผลกันอีกที
           ส่วนตันเอง การดำเนินธุรกิจของอิชิตัน จะว่าไปแล้วก็คือการนำกำไรจากการขายโออิชิมาเป็นทุนเริ่มต้น ซึ่งเป็นเพียงแค่เงินลงทุนเพียงส่วนเดียว หากประสบความสำเร็จก็เท่ากับสามารถทำกำไรจากกำไรได้ แต่หากธุรกิจไม่เป็นไปตามที่คิดตันก็ไม่เสียหายอะไร และสามารถกลับไปทบทวน และเริ่มต้นธุรกิจอื่นได้จากทรัพย์สินที่สะสมไว้อีกมากมาย โดยเฉพาะสินทรัพย์ประเภทที่ดิน ที่อยู่ในทำเลและสามารถแปลงทรัพย์สินมาเป็นทุนไม่ยากแต่ทุกธุรกิจก็เหมือนกัน แม้ว่าจะมีเงินทุนมากมายเพียงใด ก็ต้องคิดถึงกำไรขาดทุน หากแข่งขันจนไม่มีกำไร สุดท้ายก็ยากจะอยู่ได้จุดแข็งอิชิตันมากกว่าลูกจ้างการเป็นบริษัทใหม่ มีขนาดเล็กกว่า ตันจึงต้องซื้อใจทีมงาน กับการให้สิทธิ์เหนือกว่าการเป็นลูกจ้างธรรมดา ด้วยการสร้างเพื่อนร่วมธุรกิจที่เป็นทั้งลูกจ้างและหุ้นส่วน ทำให้ตันมีคนที่พร้อมจะทุ่มเททั้งสมองและแรงกายแรงใจ ทำงานให้กับเขาอย่างเต็มที่
ตันเลือกใช้วิธีรับสมัครที่แปลกแหวกแนว ชนิดที่ว่า NHK เดินทางมาถ่ายทำสารคดีเรื่องนี้ในเชิงเรียลลิตี้ถึง 5 วัน ด้วยการส่งคลิปยาว 2 นาที แนะนำตัวและบอกเหตุผลว่า ทำไมตันถึงต้องเลือกเขาเข้าทำงานกับบริษัทฯ ผ่านแคมเปญ The 9 Challengers ผู้สมัครที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 9 คน จะได้ทำงานพร้อมกับได้รับหุ้นบริษัท ไม่ตัน จำกัด มูลค่า 300,000 บาท เมื่อทำงานครบ 3 ปี
ต่อมา ตันเปิดรับสมัครทีมงาน 20 Challengers Food Business ทั้ง 20 คนที่ผ่านการคัดเลือก จะได้รับหุ้นมูลค่า 150,000 บาท เมื่อทำงานครบ 3 ปี ส่วนพนักงานอื่นๆ ตันเปิดให้ซื้อหุ้นมูลค่า 10 เท่าของเงินเดือน ผ่อนจ่าย 5 ปีไม่มีดอกเบี้ยมี Public เป็นพวก
            ในขณะที่ไทยเบฟฯ ที่ต้องมีระบบแบบธุรกิจทั่วไป แต่ตันสร้างแตกต่างในเรื่องของความเป็นคนเปิดเผย กล้าแสดงออกทั้งเรื่องที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลวให้สาธารณชนรับรู้ ใช้สาธารณชนหรือพับบลิกเป็นเพื่อน จึงเหมือนมีสาธารณชนเป็นพวกด้วย คนกลุ่มนี้นอกจากเป็นผู้รับรู้ข่าวสาร อีกด้านหนึ่งก็เป็นลูกค้าที่พร้อมจะซัพพอร์ตเขาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการที่คนส่วนใหญ่ยอมรับว่าตันเป็นคนเปิดเผยและจริงใจ ซึ่งหาดูได้ยากจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่จะมีลูกลุยและสร้างประสบการณ์สนุกสนานให้กับพวกเขาได้แบบตันพลังแบรนด์ตันทุกคนจดจำโออิชิได้ทั้งชื่อและรสชาติ โดยจำได้ว่านั่นคือความเป็นตัน เพราะตันคือผู้สร้างโออิชิ แล้วการทำตลาดสไตล์ตัน ทำให้ผู้บริโภคผูกพันกับแบรนด์ และรู้สึกเป็นกันเองกับแบรนด์ได้มากกว่า จึงมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนจากการดื่มโออิชิ มาดื่มอิชิตัน เมื่อนึกถึงชาเขียว เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็เชื่อว่า ไม่ว่ารสชาติจะแตกต่างจากเดิมหรือไม่ แต่รสชาติของอิชิตันก็ไม่น่าจะแย่กว่าโออิชิพลังสาวกใน Social Mediaตันเรียนรู้การใช้พลังของโซเชี่ยลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กในการเชื่อมโยงตัวเขาและกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่มาตลอด นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท ไม่ตัน ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวของการต่อสู้ของเข ที่ยังคงเป็นเนื้อหาที่คนยุคนี้ยังคงให้ความสนใจอยู่เสมอ
เขายังใช้เครือข่ายนี้ในการเชื่อมโยงระหว่างออนไลน์มาสู่ออฟไลน์ ในการทำกิจกรรมเพื่อโปรโมตสินค้าที่เขาทำตลาดอยู่อย่างได้ผล เช่น งานดับเบิ้ล ดริ้งค์ มีท แอนด์ กรีท ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ หลังจากแคมเปญลึกซึ้งคอนเทสต์ (การประกวดคลิปวิดีโอแสดงไอเดียการดื่มดับเบิ้ลดริ้งค์ในรูปแบบต่างๆ) ได้รับการตัดสินแล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมประกวดทั้ง 99 คลิปและผู้ร่วมโหวตอีก 13,969 คนสินค้าราเมน แชมเปี้ยน คือ ตัวอย่างการใช้ Facebook เป็นสื่อในการโปรโมตผ่านกลุ่มเป้าหมายจนประสบความสำเร็จ โดยไม่ได้พึ่งพาสื่อ Above the line  ตันเลือกที่จะสร้างแบรนด์อิชิตัน ผ่าน Fanpage ของเขา ซึ่งโดยหลักการทั้ง 2 Fanpage ข้างต้น จะจัดอยู่ในคนละกลุ่มกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว Food&Beverage ของโออิชิ และการเป็น Public Figure ของตัน คือคู่ชกตัวจริง แถมมีตัวเลขใกล้เคียงกันอีกต่างหาก แต่ถ้าพูดถึงอัตราการเติบโตแล้ว Fanpage ของตันมาแรงกว่า เพราะเปิดหลัง Oishi News Station นานนับปี


ขณะที่ Fan page ของอิชิตันเอง มีแฟนเพียง 46,071 ราย ขณะนี้ใช้ทำหน้าที่โปรโมตกิจกรรมของดับเบิ้ล ดริ้งค์ เท่านั้น !!! 

หวังว่าจะให้ความรู้กับหลาย ๆ คนนะค่ะ ในด้านต่าง ๆ กลยุทธิ์ต่าง ๆ นะคะ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น